ทำเนียบประธานาธิบดี วันที่ 3 มิ.ย. 68
เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 3 มิถุนายน 2568 หลังจากที่ได้จัดพิธีตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ เพื่อให้การต้อนรับอย่างสมเกียรติแก่ H.E. Hilda C. Heine ประธานาธิบดีสาธารณรัฐหมู่เกาะมาร์แชลล์แล้ว ประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ และรองประธานาธิบดีเซียวเหม่ยฉิน ผู้นำและรองผู้นำไต้หวัน ก็ได้ร่วมแลกเปลี่ยนหารือแบบทวิภาคีกับ ปธน. Heine พร้อมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามหนังสือแสดงเจตจำนงว่าด้วยความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนด้านการกีฬา และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยกองทุนทุนการศึกษา นอกจากนี้ ปธน.ไล่ฯ ยังได้เข้าร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการสินเชื่อเพื่อการจัดซื้ออากาศยาน พร้อมทั้งแสดงความขอบคุณต่อรัฐบาลและรัฐสภาหมู่เกาะมาร์แชลล์ ที่ให้การสนับสนุนไต้หวันอย่างหนักแน่นเสมอมา จึงหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะทั้งสองฝ่ายมุ่งเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีเชิงลึกกันอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการจัดตั้งความสัมพันธ์ทางความร่วมมือในทุกมิติอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ เพื่อบรรลุให้เกิดเป้าหมายการเอื้อประโยชน์แก่กัน และการพัฒนาเพื่อนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน ในการสร้างสวัสดิการและความผาสุกให้แก่ภาคประชาชนทั้งสองฝ่ายสนืบไป
ปธน.ไล่ฯ กล่าวว่า เมื่อปีที่แล้ว ตนได้มีโอกาสเดินทางเยือนหมู่เกาะมาร์แชลล์ ซึ่งเล็งเห็นแล้วว่า ภาคประชาชนทั้งสองฝ่ายต่างมุ่งมั่นแลกเปลี่ยนกันในด้านการแพทย์ การเกษตรและการศึกษาอย่างใกล้ชิด และเนื่องด้วยการสนับสนุนที่ ปธน. Heine มีต่อไต้หวันมาเป็นระยะเวลานาน ส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายสามารถพัฒนาความร่วมมือไปสู่มิติใหม่ๆ มากยิ่งขึ้น ทั้งการเสริมสร้างศักยภาพสตรี และการรับมือกับวิกฤตการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ เป็นต้น
ปธน.ไล่ฯ ระบุว่า หลายปีมานี้ เนื่องด้วยปัจจัยทางการเมืองเชิงภูมิรัฐศาสตร์และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ปธน.ไล่ฯ จึงหวังที่จะเห็นทั้งสองฝ่ายมุ่งสร้างความสัมพันธ์ พร้อมพัฒนาความร่วมมือกันอย่างแนบชิดและต่อเนื่อง การมาเยือนของ ปธน. Heine ในครั้งนี้ ผู้นำทั้งสองประเทศจะร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามความตกลงร่วมกันหลายฉบับ เพื่อขยายขอบเขตทางความร่วมมือในด้านการกีฬา การศึกษาและอุตสาหกรรมการบิน เป็นต้น
ในโอกาสนี้ ปธน.ไล่ฯ ได้แสดงความขอบคุณต่อรัฐบาลและรัฐสภาหมู่เกาะมาร์แชลล์ ที่ตลอดหลายปีมานี้ รัฐสภามีมติผ่าน “ญัตติว่าด้วยการสนับสนุนไต้หวันเข้าร่วมในองค์การระหว่างประเทศ” เป็นประจำทุกปี นอกจากนี้ ปธน. Heine และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างๆ ของหมู่เกาะมาร์แชลล์ ต่างก็มุ่งมั่นทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงให้ไต้หวันบนเวทีนานาชาติอย่างหนักแน่นสม่ำเสมอ ถือเป็นพลังสนับสนุนอันแข็งแกร่งของไต้หวัน
ในอนาคต ไต้หวันจะยังคงเสริมสร้างความร่วมมือกับหมู่เกาะมาร์แชลล์และกลุ่มประเทศที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกัน ภายใต้แกนหลัก 3 ประการ ได้แก่ : ประชาธิปไตย สันติภาพและความเจริญรุ่งเรือง
ปธน. Heine กล่าวขณะปราศรัยว่า ปีนี้ครบรอบวาระ 27 ปีที่ทั้งสองประเทศได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตร่วมกัน พวกเรารู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างมากสำหรับการธำรงรักษามิตรภาพให้คงอยู่อย่างยั่งยืนมาตราบจนปัจจุบัน ซึ่งสัมพันธไมตรีที่แน่นแฟ้นเช่นนี้ ก่อเกิดมาจากรากฐานทางวัฒนธรรมออสโตรนีเซียน การเคารพซึ่งกันและกันในระบอบประชาธิปไตย และคำมั่นอันหนักแน่นที่มีต่อค่านิยมหลัก อย่างเสรีภาพ ความเป็นธรรมและหลักนิติธรรม เป็นต้น
ปธน. Heine ระบุว่า การสนับสนุนที่ไต้หวันมีต่อหมู่เกาะมาร์แชลล์ ทั้งในด้านสาธารณสุข การศึกษา การเกษตรและการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศและความเป็นอยู่ของภาคประชาชนชาวหมู่เกาะมาร์แชลล์เป็นอย่างมาก ในโอกาสนี้ ปธน. Heine จึงได้ส่งมอบญัตติร่วมระหว่างภาคประชาชนและภาครัฐของหมู่เกาะมาร์แชลล์ ที่สื่อถึงคำขอบคุณสำหรับการสนับสนุนและธารน้ำใจจากไต้หวัน พร้อมทั้งเรียกร้องให้ระบบสหประชาชาติ (UN) เร่งแก้ไขปัญหาที่ภาคประชาชนชาวไต้หวัน จำนวน 23.5 ล้านคน ถูกกีดกันให้อยู่นอกองค์การโดยเร็ววัน
หลังเสร็จสิ้นการหารือระหว่างผู้นำ 2 ประเทศ ก็มาถึงช่วงเวลาของพิธีการลงนาม โดย 2 ผู้นำต่างเข้าร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนาม “หนังสือแสดงเจตจำนงว่าด้วยความร่วมมือด้านการกีฬา ระหว่างรัฐบาลไต้หวัน – หมู่เกาะมาร์แชลล์” และ “บันทึกความเข้าใจว่าด้วยกองทุนทุนการศึกษาประธานาธิบดี ไต้หวัน - มาร์แชลล์” ระหว่างนายหลินเจียหรง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของไต้หวัน และ Mr. Kalani R. Kaneko รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและการค้าของหมู่เกาะมาร์แชลล์ จากนั้น ปธน.ไล่ฯ ยังได้ทำหน้าที่เป็นประธานในพิธีเปิด “โครงการสินเชื่อเพื่อการจัดซื้ออากาศยาน” เพื่อสื่อให้เห็นถึงพิธีเปิดตัวโครงการความร่วมมือทางอุตสาหกรรมการบิน ระหว่างไต้หวัน – หมู่เกาะมาร์แชลล์
ในช่วงบ่ายของวันเดียวกันนี้ ปธน.ไล่ฯ และรองปธน. เซียวฯ ได้จัดพิธีมอบเครื่องอิสริยาภรณ์หยกเจิดจรัสให้แก่ ปธน. Heine เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติของ ปธน. Heine ที่มุ่งเสริมสร้างความสัมพันธ์แบบทวิภาคีในเชิงลึก พร้อมทั้งร่วมเป็นกระบอกเสียงให้การสนับสนุนไต้หวันบนเวทีนานาชาติอย่างหนักแน่นเสมอมา โดยปธน.ไล่ฯ หวังที่จะเห็นทั้งสองฝ่ายร่วมทำการแลกเปลี่ยนกันในมิติที่หลากหลายเพิ่มขึ้น ตลอดจนจับมือในการเผชิญหน้ากับความท้าทายนานาประการ เพื่อร่วมอุทิศคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ในการรักษาสันติภาพ เสถียรภาพและการพัฒนาในพื้นที่มหาสมุทรแปซิฟิก ให้คงอยู่อย่างยั่งยืนต่อไป
ในระหว่างพิธีอันทรงเกียรติ ปธน. ไล่ฯ ได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนรัฐบาลไต้หวัน ประดับเครื่องอิสริยาภรณ์หยกเจิดจรัส ให้แก่ปธน. Heine ด้วยตนเอง พร้อมกล่าวว่า หมู่เกาะมาร์แชลล์เป็นประเทศพันธมิตรของไต้หวันที่ตั้งอยู่ในพื้นที่แถบมหาสมุทรแปซิฟิกประเทศแรกที่ปธน.ไล่ฯ เดินทางเยือน หลังการก้าวเข้าสู่ตำแหน่งผู้นำไต้หวัน หลายปีมานี้ ทั้งสองฝ่ายต่างมุ่งกระชับความร่วมมือให้ดำเนินไปสู่ทิศทางเชิงรุก ปธน.ไล่ฯ เชื่อมั่นว่า มีเพียงการเอื้อประโยชน์และการไว้วางใจซึ่งกันและกันเท่านั้น จึงจะสามารถผลักดันให้เกิดความสัมพันธ์เชิงหุ้นส่วนที่มีเสถียรภาพยาวนานได้
ลำดับต่อมา ปธน. Heine ได้กล่าวแสดงความรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งที่ได้รับมอบเครื่องอิสริยาภรณ์หยกเจิดจรัสจากรัฐบาลไต้หวันในครั้งนี้ พร้อมกล่าวว่า มื้ออาหารสำคัญในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการเฉลิมฉลองมิตรภาพแบบทวิภาคีแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงไมตรีจิตของประชาชนชาวไต้หวัน อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานค่านิยมและแนวคิดร่วมกัน ที่ครอบคลุมทั้งการเคารพหลักนิติธรรม การรักษาเกียรติและศักดิ์ศรีความเป็นมุนษย์ และคำมั่นที่มีต่อประชาธิปไตย
ปธน. Heine แถลงว่า หลายปีมานี้ ทั้งสองฝ่ายต่างมุ่งประสานความร่วมมือกันในด้านต่างๆ อย่างใกล้ชิด ทั้งการเปิดตัว “ศูนย์เทคโนโลยี AI และการแพทย์ทางไกล” ในโรงพยาบาลมาจูโร ที่ตั้งอยู่ในกรุงมาจูโร เมืองหลวงของหมู่เกาะมาร์แชลล์ การให้บริการของศูนย์อนามัยไต้หวันที่มีประสิทธิผลดีเยี่ยม รวมไปถึงการฝึกอบรมทักษะวิชาชีพต่างๆ และโครงการทุนการศึกษา ตลอดจนประเด็นการปรับตัวต่อวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ครอบคลุมทั้งในด้านพลังงานหมุนเวียน ความยืดหยุ่นในพื้นที่เลียบชายฝั่งทะเลและการเกษตรที่ยั่งยืน
ปธน. Heine เน้นย้ำว่า รัฐบาลหมู่เกาะมาร์แชลล์จะทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงให้การสนับสนุนไต้หวันเข้าร่วมระบบ UN และองค์การระหว่างประเทศอื่นๆ อย่างมีความหมายต่อไป การกีดกันให้ไต้หวันอยู่นอกองค์การสากล นอกจากจะไม่เป็นธรรมต่อไต้หวันแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาคมโลก เนื่องจากทั่วโลกจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยเสียงความคิดเห็นและความรู้เชิงหลักการที่เป็นมืออาชีพจากไต้หวัน