สภาบริหาร วันที่ 10 มี.ค. 68
ในปี 2567 ไต้หวันก้าวสู่การเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 7 ของสหรัฐฯ มูลค่าการส่งออกแบบทวิภาคี สูงถึง 158,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.2% จากในปี 2566 อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ มียอดการขาดดุลการค้ากับไต้หวัน รวมมูลค่าสูงถึง 73,920 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งไต้หวันจัดอยู่ในอันดับที่ 6 ของกลุ่มประเทศขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อเทียบกับปี 2566 แล้ว มีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้นถึง 54.6%
จากรายงาน ระบุว่า ในปี 2567 สหรัฐฯ ส่งออกสินค้าไปยังไต้หวัน รวมมูลค่าทั้งสิ้น 42,336 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับปี 2566 ไต้หวันถือเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 12 ของสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ก็นำเข้าสินค้าจากไต้หวัน รวมมูลค่าทั้งสิ้น 116,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น 32.5% เมื่อเทียบกับปี 2566 ไต้หวันถือเป็นตลาดนำเข้าที่ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของสหรัฐฯ
สินค้าส่งออกของสหรัฐฯ ในไต้หวัน ครอบคลุมทั้งในส่วนของรถถังและยานพาหนะทหาร รวมถึงชิ้นส่วนอะไหล่ต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นในมูลค่า 294 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้อัตราการขยายตัวพุ่งสูงถึง 1945.34% อีกทั้งชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ ที่เพิ่มขึ้นกว่ามูลค่า 1,979 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 192.88% และเครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ ที่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเงิน 672 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 90.83%
ส่วนรายการสินค้าที่สหรัฐฯ นำเข้าจากไต้หวัน จำแนกออกเป็นผลิตภัณฑ์เหล็กเคลือบดีบุกหรือชุบดีบุก รวมถึงเหล็กแบนรีดที่ไม่มีโลหะผสม เพิ่มขึ้น 229 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 91.02% เครื่องประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติ เพิ่มขึ้น 11,736 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 82.02% และชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ที่เพิ่มขึ้น 11,254 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 81.69%
กระทรวงเศรษฐการ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) แถลงว่า เพื่อรับมือกับผลกระทบที่เกิดจากสงครามการค้า ระหว่างสหรัฐฯ - จีน นับตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา รัฐบาลจึงได้อกมาตรการกระตุ้นให้นักลงทุนชาวไต้หวันกลับเข้าสู่การลงทุนในประเทศ ประกอบกับหลายปีมานี้ เนื่องด้วยกระแสเทคโนโลยี AI ก่อให้เกิดอุปสงค์ด้านสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศและการติดต่อสื่อสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งการ์ดแสดงผลและเซิร์ฟเวอร์ ได้กลายมาเป็นปัจจัยหลักในการส่งเสริมให้เกิดการขยายตัวด้านการส่งออกของสหรัฐฯ