กระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 19 ม.ค. 65
เมื่อวันที่ 19 ม.ค. รัฐบาลสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) และแคว้นเฟลมิชของเบลเยี่ยม ได้ร่วมลงนาม “บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ (MOU) ระหว่างรัฐบาลไต้หวัน - แคว้นเฟลมิช” โดยมีนายเจิงโห้วเหริน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) และ Ms. Julie Bynens เลขาธิการสำนักเทศบาลและกิจการประสานงานระหว่างประเทศของแคว้นเฟลมิช ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของ 2 ฝ่ายในการร่วมลงนาม ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ พร้อมมีผลบังคับใช้โดยทันที นอกจากนี้ นายไช่หมิงเยี่ยน ผู้แทนรัฐบาลไต้หวันประจำสหภาพยุโรปและเบลเยี่ยม และเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้ง 2 ฝ่าย ต่างก็เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
รมช.เจิงฯ กล่าวขณะปราศรัยว่า การลงนาม MOU ระหว่างไต้หวัน – แคว้นเฟลมิช ตั้งอยู่บนพื้นฐานความร่วมมืออันใกล้ชิดระหว่างกัน โดยทั้งไต้หวันและแคว้นเฟลมิช ต่างเผชิญหน้ากับความท้าทายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศและการฟื้นฟูหลังยุคโควิด – 19 แต่ทั้งสองฝ่ายล้วนมีความได้เปรียบในด้านทรัพยากรบุคลากรที่มีคุณภาพ ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่มีความคล่องตัวและวัฒนธรรมที่สร้างสรรค์ ทำให้ทั้งสองฝ่ายสามารถสร้างข้อได้เปรียบในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียนและพลังงานสีเขียว เป็นต้น
Ms. Bynens กล่าวขณะปราศรัยว่า ความเชื่อมโยงอันแนบแน่นระหว่างรัฐบาลไต้หวัน – แคว้นเฟลมิช ถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ประกอบกับการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าแบบทวิภาคี ระหว่างกันอย่างแนบแน่นมาเป็นเวลายาวนาน รวมถึงข้อตกลงและบันทึกความเข้าใจรวม 6 ฉบับ ที่ทยอยร่วมลงนามระหว่างกันนับตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมา ล้วนเป็นบทพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์แบบทวิภาคีที่นับวันจะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ใน MOU ฉบับนี้ ครอบคลุมความร่วมมือในหลายภาคส่วน เชื่อว่า ภายใต้กลไกการประชุมของคณะทำงานเฉพาะกิจของทั้งสองฝ่าย จะช่วยส่งเสริมให้ความสัมพันธ์แบบทวิภาคีระหว่างไต้หวัน – แคว้นเฟลมิช ก้าวไปสู่อีกระดับอย่างแน่นอน
ระบอบรัฐธรรมนูญของเบลเยี่ยมมีความพิเศษและแตกต่างจากประเทศอื่น 3 เทศบาลท้องถิ่นในแคว้นเฟลมิช สามารถร่วมลงนามกับรัฐบาลต่างประเทศและผลักดันความสัมพันธ์แบบทวิภาคีได้อย่างอิสระเสรี โดยกฎหมายที่บัญญัติและผ่านการพิจารณาของสภาเทศบาลในแต่ละเขตพื้นที่ จะมีผลบังคับใช้เช่นเดียวกับกฏหมายในระดับประเทศ เชื่อมั่นว่าในยุคหลังโควิด – 19 ทั้งสองฝ่ายจะประสานความร่วมมือกันในเชิงลึกอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับความท้าทายระดับโลก อาทิ การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสีเขียว และการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมที่มีบทบาทสำคัญ เป็นต้น